ภาพรวมตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางนโยบายการค้าที่ยังคงปกคลุมอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เตรียมประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าในวงกว้าง ซึ่งครอบคลุมสินค้าประเภทยานพาหนะและชิ้นส่วนจากประเทศคู่ค้ารายสำคัญอย่างจีน แคนาดา และเม็กซิโก ความคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับนโยบายดังกล่าวได้สร้างความผันผวนให้กับตลาดอย่างเห็นได้ชัด โดยดัชนี US100 ปรับตัวลดลงราว 2,050 จุด ระหว่างวันพุธถึงวันศุกร์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ ได้กดดันความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการประเมินว่า มูลค่ารวมของภาษีในรอบใหม่นี้สูงกว่ารอบก่อนหน้าถึง 4 เท่า ซึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
ในอีกด้านหนึ่ง การไหลออกของเงินทุนจากสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำและพันธบัตรรัฐบาล ยิ่งสะท้อนถึงระดับความกังวลที่เพิ่มสูงขึ้นของนักลงทุน โดยในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กองทุน SPDR S&P 500 ETF Trust มีเงินทุนไหลออกมากกว่า 18 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดของปี ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่นี้มีแนวโน้มจะดันอัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็จะกดดันการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ทำให้กระแสการเทขายหุ้นมีโอกาสที่จะดำเนินต่อไปอีกระยะ
แม้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะยังไม่แสดงสัญญาณเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างชัดเจน แต่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดเริ่มสะท้อนถึงภาวะชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจำนวนตำแหน่งงานว่างลดลงต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็มีรายงานการเลื่อนแผนการจ้างงานในหลายภาคธุรกิจ ซึ่งสะท้อนถึงความระมัดระวังในการขยายกิจการภายใต้บรรยากาศของความไม่แน่นอนทางนโยบาย ภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นอาจยิ่งบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาสินค้าในประเทศก็อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว หากแนวโน้มเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป ย่อมมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะถัดไป และอาจนำไปสู่การเข้าสู่ภาวะตลาดหมี (Bear Market) สำหรับตลาดหุ้นในไตรมาสหน้า
การวิเคราะห์ทางเทคนิค
US100
ดัชนี Nasdaq (US100) ในกรอบเวลา 4 ชั่วโมง (H4) ได้ยืนยันการเข้าสู่แนวโน้มขาลงอย่างชัดเจน หลังจากที่ราคาทะลุแนวรับสำคัญบริเวณกรอบราคาสีแดงลงมาอย่างเด็ดขาด โดยแนวรับดังกล่าวอยู่ที่ระดับ 18,881.70 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำหน้าที่เป็นฐานราคาสำคัญและมีแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนหลายครั้ง การที่ราคาหลุดต่ำกว่าระดับนี้จึงส่งผลให้เกิดแรงเทขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนราคาปัจจุบันถอยลงมายืนอยู่บริเวณ 17,800 จุด ขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของราคายังคงอยู่ภายใต้กรอบแนวโน้มขาลง (Downtrend Channel) อย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันจากฝั่งขายที่ยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ สัญญาณทางเทคนิคก็ยังสนับสนุนแนวโน้มเชิงลบ โดย RSI ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ 20.32 ซึ่งเข้าใกล้เขต Oversold อย่างชัดเจน แสดงให้เห็นว่าแรงขายกำลังครอบงำตลาดอย่างมาก ในขณะที่ MACD ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าเส้นศูนย์ และแถบฮิสโตแกรมก็ขยายตัวในแดนลบมากขึ้นอีก สะท้อนว่าโมเมนตัมขาลงยังมีน้ำหนักและมีโอกาสที่จะกดดันราคาต่อได้อีกในระยะสั้น ซึ่งแนวรับถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 16,746.16 จุด ซึ่งถือเป็นระดับเฝ้าระวังสำคัญ หากไม่สามารถประคองราคาไว้ได้ ก็อาจนำไปสู่แรงขายระลอกใหม่ที่กดดันให้ราคาปรับตัวลงลึกกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ราคาสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้อีกครั้ง แนวต้านสำคัญที่ต้องจับตามองคือบริเวณ 18,881.70 จุด ซึ่งเดิมเคยเป็นแนวรับมาก่อน และหากสามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้อย่างมั่นคง ก็อาจช่วยบรรเทาแรงกดดันในฝั่งขาลงลงได้บ้าง
US100, H4